12 มิ.ย. ต่ออายุใบประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ(ร้านสัก) | ช่วงโควิด-19ระบาด
ใบอนุญาตกิจการร้านสัก หรือชื่อเต็มๆคือ “ใบอนุญาตประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ” นั่นเอง
มีอายุ 1 ปีถ้วนและต้องทำการต่ออายุอยู่เรื่อยๆ และทุกๆครั้งของการขอต่ออายุก็ต้องมีการประเมินอยู่ทุกปีเช่นกัน
ถือเป็นปกติของแทบทุกกิจการที่ต้องมีใบอนุญาตในการทำกิจการต่างๆ ถึงจะเรียกว่ากิจการนั้นเป็นกิจการที่ถูกต้องตามกฎหมายนะ
ซึ่งไม่กี่วันมานี้ เราก็ได้ทำการยื่นขอต่ออายุกิจการเป็นปีที่3 และได้รับการประเมินให้ผ่านเป็นที่เรียบร้อย
….
ในการขอใบอนุญาตกิจการไม่ใช่เพียงเพื่อยืนยันว่าเราได้เสียภาษีที่ถูกต้องเท่านั้น
แต่ยังบ่งบอกถึงคุณภาพในการบริการ ความปลอดภัย และสุขอนามัยของกิจการนั้นๆอีกด้วย
และทีนี้ก็มาพูดถึงข้อกำหนดของร้านสักกันบ้างดีกว่า
ว่ามีอะไรที่จะต้องเตรียมพร้อมและรับทราบไว้กันหากถูกลูกค้าทวงถามถึงเรื่องของใบอนุญาต
1.พื้นที่สัก
ต้องเป็นพื้นที่มีผนังและหลังคาปิดมิดชิด สะอาดและสะดวกในการปฎิบัติงาน
2.อุปกรณ์ป้องกันอัคคีภัย
ต้องมีถังดับเพลิงสำรองในขนาดที่เหมาะสมเตรียมไว้ ภายในสถานที่ปฎิบัติงาน
พร้อมด้วยช่องทางหนีภัยฉุกเฉินและสัญลักษณ์กำกับ
3.ขยะติดเชื้อ
อุปกรณ์ทุกอย่างที่มีการสัมผัสกับเลือด สารคัดหลั่ง หรือแม้แต่กระดาษชำระที่ใช้เช็ดเลือด
ต้องจัดการให้ถูกต้อง และปลอดภัยต่อตัวลูกค้าและตัวช่างสักเองด้วย
เช่น กล่องสำหรับทิ้งเข็มที่ใช้แล้ว ถังขยะที่มีสัญลักษณ์บ่งบอกว่าทิ้งเฉพาะขยะปนเปื้อน
และทำการกำจัดทิ้งอย่างถูกต้องเหมาะสม โดยการติดต่อหน่วยงานที่รับกำจัดขยะติดเชื้อโดยตรง
ห้ามให้มีการทิ้งรวมกับขยะทั่วๆไปเด็ดขาด
ซึ่งต้องมีเอกสารการทิ้งขยะเหล่านั้นเป็นรายลักษณ์อักษรด้วยนะ ไม่สามารถพูดปากเปล่าได้
นี่คือเรื่องยากที่สุดที่ต้องเตรียม หากคุณดำเนินเรื่องกับหน่วยงานรัฐบาล
(หากอยากจบเรื่องไวแนะนำให้ติดต่อหน่วยงานเอกชน แต่ก็แลกมาด้วยเรื่องค่าใช้จ่ายรายปีที่ค่อนข้างสูง)
4.การปฎิบัติงานของช่างสัก
ช่างต้องมีการป้องกันตัวเองจากเลือด และสารคัดหลั่งจากลูกค้า ในขณะปฎิบัติงาน เช่น ชุดคลุม ถุงมือ หน้ากากอนามัย
รวมถึงกล่องปฐมพยาบาลที่ต้องซื้อติดร้านไว้ในกรณีที่เกิดการบาดเจ็บขึ้นด้วย ไม่มีกล่องนี้ประเมินไม่ผ่านแน่นอน หุหุ
5.สุขอนามัย
พื้นที่ปฎิบัติงานต้องมีอ่างล้างมือและห้องสุขาไว้บริการลูกค้า โดยต้องอยู่ภายในสถานที่ปฏิบัติงานด้วย พูดง่ายๆก็คือ ในร้านสักนั้นต้องมีห้องน้ำห้องท่าและมีป้ายติดชัดเจนให้แก่ลูกค้า
สรุป
นี่ก็คือข้อกำหนดจำเป็นที่ร้านสักต้องเตรียมให้พร้อม ในการขอรับการประเมินจากหน่วยงานรัฐบาลในสถานการณ์ปกติเท่านั้น
แล้วช่วงนี้ล่ะปกติไหม
ก็อาจจะปกติก็ว่าได้ อ้างอิงจากวันที่เขียนบล็อกนี้ขึ้นมาคือวันที่12มิถุนายน 2563
ผู้ติดเชื้อจากไวรัสโควิด-19ในไทยลดน้อยลงมากๆ
ถือว่าสถานการณ์อยู่ในระดับที่ทางการควบคุมได้แล้ว
แต่…แต่บอกเลยว่าเทียบกับยอดผู้ติดเชื้อที่มีไม่ถึง10คนในแต่ละวัน
มาตรการป้องกันกับร้านค้าและกิจการบริการก็ยังมีความเข้มงวดอยู่มากๆ
ส่งผลให้เราต้องปรับตัวหนักอยู่เหมือนกัน…เอาจริงๆปีนี้เล่นเอาเหนื่อยเลยล่ะ
มาดูกันว่าเราปรับตัวกันอย่างไรบ้าง
1.รักษาระห่าง SOCIAL DISTANCING
ด้วยการติดป้ายบริเวณที่รับรองแขก นั่งห่างกันอย่างน้อย1เมตร และรวมไปถึงการจำกัดจำนวนลูกค้าที่รับได้ในแต่ละวันด้วย
พูดตามตรงนะร้านสักอย่างเราไม่ได้มีพื้นที่กว้างอะไรขนาดนั้น การที่จะรักษาระยะปลอดภัยไว้ได้ ร้านเราจำเป็นต้องลดจำนวนลูกค้าลง
เหลือแค่ วันละไม่เกิน2-3คนเท่านั้นเอง(รวมถึงงดการนำผู้ติดตามมาสักด้วย)
2.ต้องจองเท่านั้น RESERVATION ONLY
เพื่อเป็นการลดการเข้าไปแออัดในสถานที่แคบๆเป็นระยะเวลานาน การสักในตอนนี้ต้องจองเท่านั้นถึงจะปลอดภัย
และตอนนี้บอกเลยหากคุณอยากจะวอร์ค-อินไปสักล่ะก็…
มีโอกาสแห้วค่อนข้างสูง…
ซึ่งเราชาวสโตรคเกอร์ ก็คือ1ในร้านที่ต้องทำการจองก่อนสักเท่านั้น
3.ลูกค้าต้องใส่หน้ากากอนามัยตลอดการสัก
มันยากใช่ไหมล่ะครับ ซึ่งเราก็ทราบดีและพยายามจะอธิบายให้ลูกค้าเข้าใจ
เพื่อความปลอดภัยต่อส่วนรวมแล้วมันจำเป็นที่ต้องทำครับ
ระหว่างสัก ต้องทนกับความเจ็บ ไหนจะอึดอัดกับการใส่หน้ากาก นี่คงเป็นอะไรที่ทรมานลูกค้ามากโขอยู่
และเราก็เข้าใจลูกค้าเป็นอย่างดี ทำได้แค่ค่อยๆทำไปและให้กำลังใจช่วยให้ทนจนจบงานกันไปครับ
……
สุดท้ายแล้วก็คือร้านต้องเข้มงวดกับการรักษาความสะอาดภายในร้านมากขึ้นเท่าตัว
ทุกวันก่อนเปิดร้านมีการเช็ดทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ อุปกรณ์ในการสักทุกอย่างต้องสะอาดและพร้อมใช้งาน
เตรียมหน้ากาก น้ำยาล้างมือ ที่วัดอุณหภูมิให้พร้อมก่อนลูกค้าคนแรกจะเดินเข้าร้าน
ซึ่งมันก็คงต้องเป็นแบบนี้ไปนานพอตัว จะบ่นว่าเหนื่อยมันคงไม่เกิดประโยชน์อะไร
และสักวันเราคงชินไปเองแล้วก็กลายเป็น New Normal Life ของเราไป ///สู้ๆไปด้วยกันครับ
Sorry, the comment form is closed at this time.